วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

กลอน หวาน ๆๆๆๆๆๆ



กลอน บทที่ : 253
โ ร ตี ใ ส่ ใ ข่ หั ว ใ จ ใ ส่ รั ก
ก๋ ว ย เ ตี๋ ย ว ยั ง ใ ส่ ผั ก อ ย า ก จ ะ " รั ก " ต้ อ ง ใ ส่ ใ จ

กลอน บทที่ : 252
ท ร ม า น อ ยู่ กั บ ก า ร ไ ม่ มี ใ ค ร
เ ค ย มี เ ธ อ อ ยู่ ใ ก ล้ ๆ
นั่ ง นั บ ล ม ห า ย ใ จ ที่ มี แ ต่ เ ธ อ

กลอน บทที่ : 251
ค ว า ม ท ร ง จำ ดี ๆ จึ ง เ ก็ บ ไ ว้
เ ป็ น กำ ลั ง ใ จ ที่ มี คุ ณ ค่ า
แ ม้ ไ ม่ อ า จ ย้ อ น วั น เ ว ล า
ข อ ใ ห้ รู้ ว่ า น า ย ยั ง มี เ ร า

กลอน บทที่ : 250
สุ ร า คื อ นำ ป ร ะ ป า
กั ญ ช า คื อ พื ช ไ ร่
บุ ห รี่ คื อ ย า แ ก้ ไ อ
ล ม ห า ย ใ จ ฉั น คื อ เ ธ อ

กลอน บทที่ : 249
ส่ ง ม า ก ว น ใ จ
ใ ห้ รู้ ไ ว้ คิ ด ถึ ง
ถ้ า ค น อ่ า น น่ า บึ ง
ค น คิ ด ถึ ง ค ง เ สี ย ใ จ


กลอน บทที่ : 248
ส. ตั ว แ ร ก บ อ ก แ ท น ค ว า ม คิ ด ถึ ง
ค. ตั ว กึ่ ง ท ร า บ ซึ้ ง ใ น ใ จ ฉั น
ส. ตั ว ท้ า ย ค ว า ม รั ก ค ว า ม ผู ก พั น
ส า ม ตั ว นั้ น เ คี ย ง คู่ กั น ต ล อ ด ไ ป.....

กลอน บทที่ : 247
รั ก เ ท อ ร์ รั ก ม า ก ใ น ต อ น นี้
แ ต่ บ า ง ที ต่ อ ไ ป อ า จ ไ ม่ แ น่
ต่ อ ไ ป ฉั น อ า จ ทำ เ ห มื อ น ไ ม่ แ ค ร์
แ ต่ ที่ แ น่ ๆ ต อ น นี้ ฉั น รั ก เ ท อ ร์

กลอน บทที่ : 246
รั ก แ ร ก มั น แ ย ก ย า ก
รั ก ม า ก มั น ย า ก แ ย ก
รั ก เ ท อ เ ป ง ค น แ ร ก
จ ะ ใ ห้ แ ย ก มั น ค ง ย า ก

กลอน บทที่ : 245
ต้ อ ง ทำ ตั ว เ ป็ น ค น เ จ้ า น้ำ ต า
เ มื่ อ รู้ ว่ า รั ก แ ท้ ดุ แ ล ไ ม่ ไ ด้
มั ก ป า ก ดี กั บ เ ท อ ร์ ม า ก เ กิ น ไ ป
ถึ ง ยั ง ไ ง ฉั น ก็ เ ป็ น แ ค่ . . . .ส่ ว น เ กิ น

กลอน บทที่ : 244
อ ย า ก จ า เ ป น ห ม อ น ข้ า ง ใ ห้ เ ท อ ร์ ก อ ด
อ ย า ก จ า เ ป น ท า ม ม า ก๊ อ ต ใ ห้ เ ท อ ร์ เ ลี้ ย ง
อ ย า ก จ า เ ป น ตุ๊ ก ต า อ ยุ่ บ น เ ตี ย ง
จ า ไ ด้ เ คี ย ง ข้ า ง เ ท อ ร์ ต ล อ ด ไ ป

การ์ตูน ดุ๊กด๊ก น่ารัก
































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

นิทานเรื่อง หมีกับคนเดินทาง

มีชายสองคนเป็นเพื่อนกันได้เดินทางไปตามทางที่ในป่า พลันก็ได้มีหมีตัวหนึ่งโผล่ออกมา ชายคนแรกรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็วขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ส่วนข้างฝ่ายชาย อีกคนหนึ่งด้วยเขายังไม่ทันได้ทำอะไรเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง จากสัตว์ตัวใหญ่ที่โผล่ออกมาอย่างกระทันหัน และทุกอย่างก็สาย เกินไปเสียแล้วที่จะคิดหนี..แต่เขานั้นเคยได้ฟังมาว่า หมีนั้นส่วนมากมักจะไม่จับต้องสิ่งที่ไม่มีชีวิต ดังนั้นเขาจึงลมตัวลงนอนไปที่พื้น แล้วแกล้งทำเป็นว่าเขาได้ตาย หมีได้เข้ามาที่ใกล้ๆกับตัวเขาแล้วดมกลิ่น ส่วนเขาก็พยายามที่จะนอนนิ่งๆ โดยไม่เคลื่อนไหวหรือทำอะไร ดังนั้นหมีจึงได้ผละไปจากเขา แล้วมันก็ได้เดินหายไปทางอื่นเสีย เมื่อหมีได้จากไปแล้วชายคนที่อยู่บนต้นไม้ได้


ไต่ลงมาจากต้นไม้ "หมีตัวนั้นมันเหมือนพูดอะไรกับนายหรือ?"เขาถาม "เราเห็นว่ามันทำท่าบอกบางสิ่งที่หูของนาย" " ใช่..มันได้บอกสิ่งที่สำคัญบางสิ่งกับเรา"ชายคนนั้นตอบ " อะไร?มันบอกอะไร?"ชายคนแรกถามอีกอย่างสงสัย " มันบอกกับเราว่าอย่าเดินทางร่วมไปกับเพื่อนที่คิดทอดทิ้งเพื่อน ในเวลาที่ได้พบกับสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย"
The Two Friend เพื่อนand the Bear หมี Two friends were out together in the forest ป่าไม้ when a bear came along One man quickly อย่างรวดเร็ว went up in a tree to escape.The other man could do nothing againstปกป้องจาก such a large animal on his own,and it was too late to escape การหนี.But he had heard ได้ฟังมา that bears never touch dead people.So he lay วางลงdown on the ground and acted แสร้งทำ as if he were dead. The bear went up and smelled ดมกลิ่น him.But the man didn't move. การเคลื่อนไหวThe bear left him there and continued ต่อเนื่อง on.When it had gone,the other
man came down from the tree."What did the bear say to you?"he asked."I saw it say something บางสิ่ง in your ear?. หู" "It told me something important, สำคัญ"said the other man. "What was that?"said the first man."It told me to walk with friends who leave ทอดทิ้ง you when there is danger. สิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เพื่อนแท้คือ....ใครที่ไม่เคยคิดทอดทิ้งเราในที่ไหนที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย
True friend is... who never leave you when there is danger.

นิทานเรื่องสิงโตเจ้าป่ากับยุงขี้โม้


สิงโตเจ้าป่ากับยุงขี้โม้
" ปุฮุฮุน..ปุฮุฮุน " มียุงขี้โม้และใจกล้ามากตัวหนึ่งบินไปรอบ ๆตัวของสิงโตที่กำลังจะนอนหลับ ... เจ้ายุงขี้โม้หวังจะสร้างวีรกรรมให้กับตัวของมันเอง มันคิดว่าแม้มันจะเป็นสัตว์ตัวเล็กเพียงแค่นี้ก็ตามเถอะ แต่ถ้ามันสามารถ บินไปกัดจมูกสิงโตผู้เป็นเจ้าแห่งป่ากินเลือดได้ มันก็คงจะได้มีเรื่องไปคุยโม้เป็นวีรกรรมได้อีกนานเลยทีเดียว ส่วนข้างฝ่ายสิงโตผู้เป็นเจ้าป่านั้นหรือให้เป็นสุดแสนที่จะรำคาญใจที่มีแมลง ตัวเล็ก ๆคือยุงนี่มาบินไป-มา ขัดจังหวะการหลับนอนของมัน...มันเงื้ออุ้งมืออันใหญ่และหนาเตอะใล่ ตะบบยุงด้วยความรำคาญ แต่เจ้ายุงขี้โม้มันก็หลบทันทุกครั้งไปนั่นแหละ..มันบินหนีไป-มาและพูดว่า " ถึงแม้ว่าแกจะเป็นผู้ที่ใคร ๆ ขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งป่าก็เถอะ..อย่าผยองให้มากไปนักเลย ถึงแม้ข้าจะตัวเล็ก แค่นิดเดียวแค่นี้ก็ตาม แต่ข้าไม่กลัวอะไรแกตรงไหนเลย ฮ่า ๆๆเก่งจริงตะบบข้าให้ได้สิฮ่าๆๆๆ"

สิงโตเมื่อได้ฟังดังนั้นก็โมโหขึ้นมาทันที มันลุกขึ้นและอ้าปากอันใหญ่ที่มีเขี้ยวอันแหลมคมเข้าตามงับ.. และงับยุงเข้าไปในปากของมันได้ แต่เจ้ายุงมันก็ไวเหมือนกันมันบินหนีแทรกซอกฟันของสิงโตออกมา ได้อย่างหวุดหวิด แล้วบินหนีไปตั้งหลักก่อนที่จะหัวเราะลั่นแล้วพูดออกมาว่า " ฮ่าๆๆๆฮู่ๆๆๆ เป็นยังไงแม้แต่เขี้ยว คม ๆที่แหลมอย่างนั้นของแกก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรข้าได้เลย ฮ่า ๆๆๆ" เจ้ายุงพูดจบก็ขยับปีกสั่น กระ พือเสียงดัง "ปุฮุฮุน..ปุฮุฮุน " ทำสัญญาณอะไรบางอย่างขึ้น...


แล้วสักพักก็มีสิ่งหนึ่งบินเกาะกลุ่มกันมาจนดำมืดเป็นฝูงเหมือนกองทับเลยทีเดียว...จ๊าก..กองทับ ยุงนี่..แว๊ก บินเกาะ กันเป็นฝูงมองเห็นดำมืดไปหมด เจ้ายุงขี้โม้รีบบินไปที่ฝูงยุงที่บินมานั้นทันที " โอ่..ขอบ ใจมากเพื่อนที่มาตามสัญญาณ เรียกของเรา เร็วพวกเราจัดการกับสิงโตตัวนั้นได้เลย " พอสิ้น เสียงคำสังเท่านั้นฝูงยุงทั้งฝูงก็แตกฮือบินตรงเข้าหาเป้าคือ สิงโตทันที มันรวมหัวกันรุมกัดและสูบเลือดไปทั่วทุกที่ ทั้ง ตัวเลยทีเดียว สิงโตเจ้าป่าให้เป็นตกใจ และเจ็บคันไปหมด " โอ้ย..คัน ๆแสบตัวไปหมดแล้ว...ก้าววว์..ช่วยด้วย "
และด้วยสุดแสนจะทนต่อไปได้ สิงโตจึงวิ่งหนีไปที่บ่อน้ำและกระโดดตูมลงไปจนน้ำแตกกระจายทีเดียว.. เจ้ายุงขี้โม้มันก็บินตามมาติด ๆ มันบินไปอยู่ตรง หน้าสิงโตที่มีสภาพร่อแร่หมดท่า.. แล้วพูดเหมือนบังคับสิงโตว่า " ฮ่า ๆๆเป็นยังไงล่ะแกเจ้าป่า..แต่ข้าชนะ แล้วใช่ไหม?ยอมรับออกมาเดี๋ยวนี้ว่าข้านี่สิเหนือกว่าและเป็นผู้ชนะ..เร็ว ๆ " มันพูดพร้อม กับหัวเราะอย่างเริงร่า..เลยไม่ทันรู้ตัวว่า ที่ข้างหลังของมันนั้นได้มีใยแมงมุม อันใหญ่ขึงผืดอยู่...แล้วเจ้าแมงมุมเจ้าของใยก็กำลังจ้องมองมันอยู่ด้วยตา อันเป็นประกาย ..เจ้ายุงพูดไปถอยหลังไปเรื่อย ๆ เพราะมันก็ออกที่จะกลัวๆสิงโตอยู่เหมือนกัน แล้วในที่สุดมันก็ถอยหลังไปจนปีกของมันไปติด กับใยของแมงมุมเข้าจนได้..เจ้าแมงมุมตัวเขื่องย่างสามขุมเข้าหายุงขี้โม้ทันที " เหอ ๆๆ ข้านี่ไง คือผู้ชนะ วันนี้นับเป็นวาสนาของแมงมุมกระจอกๆ อย่างข้า ที่จะได้ลิ้มรสยุงผู้ยิ่งใหญ่เหนือเจ้าป่าอย่างเจ้า ข้าว่าท่านสิงโตผู้เป็นเจ้าแห่งป่าก็คงนึก อิจฉาข้านะ..ใช่ไหม?ท่านสิงโต..ฮ่า ๆๆๆ " ว่าแล้วมันก็ตีลังกาลง

มาสองตลบแล้วเขมือบ ยุงเข้าไป ทั้งตัวทันที...เจ้ายุงขี้โม้ที่อยากจะเป็นเหนือเจ้าป่านั้น ก่อนที่มันจะสิ้นใจลงไปมันจึงด้วยความช้ำ และพูดปิดท้ายก่อน ตายว่า " ไม่น่าเลยยุงที่จะได้อยู่เหนือเจ้าป่าอยู่รอมร่ออย่างข้าต้องมาตายใน อุ้งมือของเจ้าแมงมุมไร้ระดับอย่างนี้สุดจะอาย... โลกจ๋า..ขอลาหละ...คร๊อก..บ้าย..บาย "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
" จงรู้จักประมาณตนและอย่าประมาทก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป "

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

ลมกับพระอาทิตย์


นิทานอีสป....เรื่องลมและดวงอาทิตย์
ครั้งหนึ่งลมและดวงอาทิตย์ถกเถียงกันว่าใครจะคือผู้ที่มีพลังแข็งแกร่ง น่าเชื่อถือมากกว่ากัน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะใช้วิธีตัด สินโดยการทดสอบให้เห็นชัดว่า หากผู้ใดสามารถทำให้นัก เดินทางที่เดินทางผ่านมาผู้หนึ่ง ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออก จากตัวของเขาได้ เมื่อนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า.. Once upon a time..., the wind and the sun were arguing โต้เถียง amongst one another over who is the strongest, น่าเชื่อถือ when they decidedเห็นชัด they would put it to a test to be sure. They decided that if someone could make a traveller นักท่องเที่ยว take his coat off from his body, then they would receive the title of being the most powerful. มีประสิทธิภาพ
แรกเลยลมเป็นฝ่ายเริ่มแสดงก่อน มันได้รวบรวมพลังที่มีอยู่ทั้งหมด เป่าลมที่มีความเย็นรุนแรงและโหดร้ายโหมกระหน่ำ เข้าปะทะร่างของนักเดินทางผู้นั้นอย่างแรง นักเดินทางรีบกระชับเสื้อคลุม ที่เขาสวมใส่ให้แนบตัวอย่างแนบแน่นเพื่อไม่ให้มันสะบัดไปได้ตามแรงของลม The wind went first. It gathered it's breath เป่าลม together and blew a freezingเย็น storm of savageryความดุร้าย and violence. รุนแรง The traveller hurriedlyรีบร้อน wrapped his coat tightly around himself and held the sides securely ให้แน่น with his hands. No matter how much harder the wind blew, he just held his coat all the more tightly. อย่างแน่นหนา


คราวต่อไปดวงอาทิตย์ก็เริ่มฉายแสงอันเจิดจ้า แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ขับไล่เมฆ และความหนาวเย็น ไปจนหมดสิ้น นักเดินทางผู้นั้น รู้สึกเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า มากขึ้น...มากขึ้น ด้วยความร้อนเขาก็เดินต่อไปไม่ไหวเสียแล้ว และ ด้วยความเหนื่อยอ่อนเขาได้ถอดเสื้อคลุมของเขาออกและขว้างทิ้งลงไปที่พื้น จากนั้นก็ทรุด ตัวลงนั่งด้วยความอ่อนเพลียเพราะเหงื่อที่ไหลออกมาจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว Next, the sun shone ส่องแสง fervently, so bright จ้า it drove away the clouds ก้อนเมฆ and the cold, กะทันหัน until the traveller feltคลุมด้วยผ้า all at once very hot. As the sun shone fervently more and more, the traveller could go no further. He took off his coat and threw ขว้าง it to the ground then sat down, collapsing with exhaustion ความเหนื่อย and soaking ซึ่งเปียกชุ่ม with sweat. เหงื่อ


และเมื่อเขามองไปเห็นแม่น้ำและด้วยร้อนจนสุด ที่จะทนทานได้ ชายผู้นั้นจึงถอดเสื้อผ้าที่เขายังมีหลงเหลืออยู่ออกทั้ง หมดแล้วกระโดดลงไปในแม่น้ำ เพื่อหวังที่จะช่วยให้ผ่อนคลาย ความร้อน...ดังนั้นดวงอาทิตย์จึงเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขัน ครั้งนี้ไปตามระเบียบ..... When the traveller saw a river, he removed การเคลื่อนย้าย the clothes he was wearing and went down to play in the water and take relief ผ่อนคลาย from the heat. ความร้อน Therefore, the sun won the contest การแข่งขัน this time...

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ทำอะไร ควรใช้เหตุผล มากกว่าใช้กำลัง

แม่กบกับวัว



แม่วัวตัวหนึ่งเดินหาอาหารอยู่ในท้องนา บังเอิญพลาดไปเหยียบเอาพวกลูกกบเข้า ลูกกบส่วนใหญ่ถูกเหยียบตายเกือบหมด เหลือรอดมาตัว เดียว วิ่งหนีมาหาแม่ ตัวสั่นงันงกบอกกับแม่ของมันว่า "ฉันได้เห็นสัตว์ ประหลาดตัวใหญ่เบ้อเร่อทีเดียวตัวมัน


ใหญ่โตเหมือนภูเขามีเขาอยู่บนหัวมีหางยาว กีบเท้าของมันแยกออกมาเป็นสองซีก มันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ใหญ่มหึมา เหยียบ พวกพี่น้องตายหมด เหลือแต่ข้ารอดมา" แม่กบถามว่า " ตัวมันโต ขนาดไหนละ?" ว่าแล้วก็พองตัว ให้ลูกดู ลูกกบก็ตอบว่าใหญ่กว่านั้น แม่กบก็พยายามเบ่งตัวให้พอง ขึ้นอีก ลูกก็ว่าโตยังไม่เท่าสัตว์ตัวนั้น แม่กบก็ยิ่งพองตัวขึ้นอย่างสุด ฤทธิ์ แล้วถาม


ลูกอีกว่า " ขนาดนี้ได้ไหม?" ลูกกบก็ตอบ ตามเดิมว่า " ยังใหญ่กว่านั้น ถึงแม้ว่าแม่จะพองตัวจนพุงแตกก็ยังไม่ได้ครึ่งของ สัตว์ตัวนั้นเลย..กรุณาอย่าถึงขนาดทำร้ายตัวเองเลยแม่??" แม่กบยังไม่หายสงสัยใน ความใหญ่โตของสัตว์ตัวที่ลูกของมันพูดนั่นเอง ดังนั้นแม่กบจึงสูดลมหายใจจนสุดเท่าที่มันจะทำได้ เบ่ง เบ่ง แล้วก็เบ่ง จนตัวของมันพองขึ้น,พองขึ้น และพองขึ้น แล้วมันก็พูดว่า "แม่มั่นใจเหลือเกินว่า สัตว์ตัวนั้นคงไม่ใหญ่ไปกว่านี้หรอก..." พูดถึงแค่นี้ตัวมันก็แตกระเบิด (ดังโป๊ะ)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
" ความไม่รู้จักประมาณตน ย่อมนำมาซึ่งความพินาศแห่งตน

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่อง เด็กเลี้ยงแกะจอมปด



ครั้งหนึ่ง มีเด็กเลี้ยงแกะซึ่งอายุยังน้อยผู้หนึ่ง ทำการดูแลฝูงแกะของเขาอย่างหงอยเหงาอยู่ที่ไม่ไกลไปจากหมู่บ้านของเขาสักเท่าไหร่ เขาสร้างความสนุกสนานแก้เบื่อให้กับตัวของเขาเองด้วยการ วิ่งไปและร้องว่า "หมาป่า!หมาป่า!" แผนการณ์การเล่นตลกของเขาอันนี้ดำเนินไปอย่างสวยงาม ถึงสอง-สามครั้ง และในทุกๆครั้งเขาก็สามารถทำให้ชาวบ้านทั้งหมดวิ่งหน้าตื่นมา เพื่อช่วยเหลือเขาได้ในทุกครั้ง...อย่างไรก็ตาม พวกชาวบ้านที่วิ่งมาหมายจะช่วย เขาด้วยความจริงใจกลับต้องได้รับรางวัลเป็นเสียงหัวเราะจากเขาอย่างเดียวเท่านั้น แล้ววันหนึ่งหมาป่าก็มาจริง ๆ เขาร้องตะโกนอย่างเอาจริงเอาจัง "หมาป่า!หมาป่า!" แต่คราวนี้พวกชาวบ้าน ซึ่งถูกเขาหลอก มาหลายครั้งหลายหน ต่างก็คิดว่า เขานั้นกำลังหลอกลวงพวกตนอีกตามเคย ดังนั้นจึงไม่มีใครสักคนโผล่หัวออกมาช่วยเหลือเขา และด้วยเหตุดังนี้หมาป่า จึงได้กินอาหารอร่อยของมันคือฝูงแกะของเด็กคนนั้นอย่างสบาย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ไม่มีใครเชื่อคนโกหก แม้ว่าเขาพูดความจริงก็ตาม

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่อง วัวสามสหายกับ สิงโต
** The Three Oxen and The Lion **


ครั้งหนึ่งยังมีวัวอยู่สามตัว เป็นเพื่อนที่ดีมีความเกี่ยวข้องที่สามัคคีต่อ กัน มันทั้งสามอาศัยอยู่ในทุ่งกว้างที่ป่าใหญ่อัฟริกา มันทั้งสามตัว จะไปไหนมาไหนไม่ว่าจะเป็นเวลากินหญ้าหรือแม้แต่ในเวลานอน ก็จะอยู่ในที่ที่ใกล้ ๆ กันอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ในวันหนึ่ง ในขณะที่วัวทั้งสามตัวกำลังรวมกลุ่มกันยืนกินหญ้าอยู่นั้น ก็เกิดได้มีสิงห์โตหิวโซตัวหนึ่งเดินผ่านมาและได้เห็น มันหมายที่จะบุกเข้าจับกินเป็น เหยื่อ
" ว้าว! พวกมันดูน่าอร่อยมากเลยทีเดียว "
แต่วัวทั้งสามตัวได้ร่วมพลัง กันกางเขายืนจังกล้าหันหน้าเข้าปะทะกับสิงห์โตอย่างไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเกรงแต่ อย่างใด " ม่อๆๆ กางเขาหันหน้าสู้กับสิงห์โต ห้ามแยกจากกันเป็นอันขาด "

There was three oxen who have good relations in the prairie of Africa. They were always together with playing, eating grass, and sleeping. One day, when the oxen were eating grass, a lion attacked to them. "Wow! They look so delicious." Three oxen were adhereing each other. "Moow, Turn the horns to the lion, without separateing each other."

สิงห์โตจึงไม่สามารถที่จะเข้าไปในที่ที่ใกล้ ๆ และทำอะไรพวกมันได้เลยสักนิด เพราะฉะนั้นสิงห์โตจึงทำได้ก็แต่แค่เพียงเดินเมียงมองอยู่ในที่ห่าง ๆ และ
รอบ ๆ ได้แต่เพียงอย่างเดียว มันเฝ้ารอคอยเพื่อหาโอกาสที่จะบุกเข้าโจมตี แต่แล้วก็ต้อง เลิกลาและถอยห่างออกไปในที่สุด
" ถ้าพวกเราร่วมมือสามัคคีกันแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวอ้ายสิงห์โตตัวนั้นเลยสักนิด "
สิงห์โตรู้สึกอับอาย เป็นอย่างมาก ที่ไม่สามารถที่จะกินวัวทั้งสามตัวพวกนั้นได้


A lion could not approach even a step. Therefore, walking around the oxen, he was waiting for the chance to attack, but gave up and go away at last. "If we cooperate each other, we don't need fear to even a lion." The lion was very mortifying because he could not eat an ox.
" มันน่าที่จะมีหนทางอะไรที่
ดี ๆอยู่บ้างนะ " สิงห์โตพยายามใช้ความคิด
"อ้อ ข้ารู้แล้ว.. ! ว่าด้วยเหตุใดข้าถึงได้บุกเข้าไปจับกินพวกมันไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น...ก็เป็นเพราะว่าพวกมันมีความสามัคคีกันนั่นเอง,,, ดังนั้นก่อนอื่นใด ข้าก็จำเป็นที่จะต้องจัดการทำให้พวกมันแตกแยกขาดความ สามัคคีต่อกัน...แล้วตอนนั้นแหละ ข้าก็จะกินพวกมันได้ทีละตัว ๆ อย่างง่าย ๆ นั่นไง ใช่แล้ว ! " และเมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว สิงห์โตก็ได้ย้อนกลับมาปรากฏตัวในที่ ทุ่งกว้างที่พวกวัวทั้งสามอยู่อีกครั้งหนึ่ง " ดีมาก...ดูสิ..นั่นพวกมันกำลังแยกกันออกไปยืนกินหญ้าอยู่ในที่ที่ห่าง ๆ อยู่พอดีเลยทีเดียวเชียว "
"What is the good way for it?" The lion thought hard. "Now I know! I can not attack oxen because they cooperate together. I will separate them and eat them one by one." lion came to the prairie in which oxen are present. "Good. Look ! All of them are eating grass, parted."


สิงห์โตรีบเดินไปในที่ที่ใกล้ ๆ กับวัวตัวสีแดงก่อนอื่นใด แล้วกระซิบด้วย เสียงที่อ่อนหวานที่สุดว่า " นี่นี่..นายสีแดง เราต้องขอยอมแพ้ในความเก่งกาจของ พวกท่านแล้วหละ เพราะพวกท่านนั้นทั้งเก่งทั้งแข็งแรง..เราขอนับถือ..แต่ว่านะ..เราอยาก รู้จังเลยว่าท่านทั้งสามนั้นใครคือผู้ที่เก่งและแข็งแรงที่สุดในฝูงล่ะ" วัวตัวสีแดงจึงพูดว่า " พวกเรานั้นทั้งเก่งและแข็งแรงด้วยกันทั้งสามนั่นแหละ " สิงห์โตทำท่าทีเป็นตกใจ " จริงน่ะ???แต่ที่ข้าได้ยินมาจากวัวตัวอื่นนั้น..มันไม่ใช่อย่างเช่นที่ท่านพูดนี่ ! "


The lion approached the red ox and said with the easy voice. "Mr. red, I was defeated by the power of you all. I never attack any longer. By the way, who is the strongest ox in you all." "All three of us are as strong." the red ox answered. "Really? The others had not said such a thing."


วัวตัวสีแดงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงได้ถามไปว่า " แล้วพวกนั้นพูดว่าอย่างไร??"
สิงห์โตจึงได้ทีพูดว่า " วัวตัวสีดำนั้นบอกว่ามันนั้นทั้งเก่งและ แข็งแรงที่สุดในฝูง แล้วยังได้บอกอีกด้วยว่าถ้าไม่มีมันแล้ว รับรองว่า วัวตัวสีแดงกับวัวตัวสีน้ำตาลจะต้องโดนสิงห์โตกินไปนานนมแล้วเสียด้วยนะ.." " อะไรนะ? ทำไมมันถึงได้พูดในสิ่งที่ห่วยและแย่มาก ๆ อย่างเช่นนี้ได้ ยังไง!"
วัวตัวสีแดงเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ให้เป็นโกรธเป็นอย่างมาก...

The red ox Being surprised, the red ox asked. "What did they say?" The lion said. "The black ox there said that he is the strongest one, and if he was not here, the red and the brown had been eaten by a lion already." "What? Did he say such a awful thing?" The red ox had got angry very much.


แล้วในที่สุด,สิงห์โตก็ได้ไปพูดบอกหลอกลวงแบบเช่นนี้กับวัวตัวสีน้ำตาล แล้วก็แน่นอนเหมือนกันกับวัวตัวสีดำอีกด้วย...
" นี่ นี่ วัวตัวสีน้ำตาลท่านได้ ฟังแล้วหรือยัง? ว่าวัวตัวสีดำพูดว่า มันนั้นต้องมีหน้าที่ดูแลป้องกันภัย ให้กับวัวทั้งสอง เพราะว่าวัวทั้งสองตัวนั้นทั้งอ่อนแอและทำอะไรที่เป็น ประโยชน์ไม่ได้เสียเลย.. "
" ม่อๆๆๆโอ้ยนี่ข้าโกรธแล้วด้วยนะ! " สิงห์โต พูดหลอกลวงแบบนี้กับวัวทั้งสามตัวตามแผนการณ์ได้อย่างแนบเนียนมากเสียด้วยสิ


Finally, the lion went to the brown ox's place, after the black bull was deceived. "Brown ox, Did you hear it? The black ox said that he have protected you two by only himself, and you are weakling and not useful." "Moow! I've got angry!" The lion was pleased to deceive the oxen well.


.แล้วหลังจากนั้นในที่สุด..ที่ทุ่งกว้างของป่าใหญ่ก็เป็นอันได้เกิดการต่อสู้กันขึ้นมา เสียแล้ว...เริ่มต้นจากวัวตัวสีดำก่อนเลย มันตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
" มาเลย เราจะต้องมาสู้แข่งขันกัน เพื่อให้รู้ให้แน่ชัดเสียเดี๋ยวนี้ ว่าใครคือผู้ที่เก่งและแข็งแรงที่สุดในฝูง " วัวตัวสีแดงก็เหมือนกันก็พูดขึ้นด้วยความโมโหว่า "ตัวที่เก่งและแข็งแรงที่สุดก็คือข้า!" มันทั้งสามตัวจึงเริ่มต่อสู้กัน..โดยใช้เขาอันแหลมคมของพวกมันนั้นเอง..เสียบแทง ซึ่งกันและกันอย่างไม่ยอมลดละให้กันและกันเลยสักน้อยนิดเสียด้วย...

Now in the prairie, oxen started fighting. In the beginning, the black ox shouted. "We will decide by duel, about the strongest ox in us." Red ox said, too. "I won't be defeated by you. Come on!" Brown ox is also angry furiously. "The strongest is me." Three oxen began to fight, jabbing their horn.


" ม่อๆๆม่อๆๆ..ม่องเท่งสิ" สัตว์ทั้งสามตัวจึงมีอันต้องนองและเต็มไปด้วยเลือด มันทั้งสามตัวได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมากและอ่อนแรงลงอย่างไม่ได้สติ จากการต่อสู้
"ม่อๆๆ..ข้าไม่ปรารถนาที่จะอยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป " ทั้ง ๆ ที่เคยมีความสามัคคีและเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่แล้ววัวทั้ง สามตัวก็จำต้องมาแตกแยกขาดความสามัคคีเป็นมิตรที่ดีต่อกันและกันไปในที่สุด และในตอนนั้นสิงห์โตก็ยิ้มด้วยความพอใจ เพราะได้โอกาสเข้าไปจับกิน พวกวัวที่อ่อนแรงใกล้ตายได้ทีละตัว ทีละตัว สมใจสบายโก๋ไป ตั้งสามวันเต็ม ๆเลยทีเดียว...

"Moow ! Moow!" Three animals have been bloody, pierced by horns of each other. They are already wholly unconscious. "Moow. I can't be with you any longer." The oxen which had good relations got separate. The lion was pleased !, and he attacked one by one, and ate steaks of them in three days.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

นิทานเรื่องเล่าเรื่องนี้..ได้เล่าถึงวัวที่คือผู้ที่ได้รับการหลอกลวง จากสิงห์โตที่กุข่าวลือขึ้นมา...จนทำให้ต้องมาแตกขาดความสามัคคีและความ มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน " จงให้ความสำคัญและให้ความเชื่อใจ กับคนหรือ เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน " ...


This is the tale, of oxen who were deceive by the words of a lion and lost important friendship. It is very important to trust fellows.







นิทานอีสป

เรื่อง หนูบ้านนอกกับหนูในเมือง


หนูบ้านนอกได้เขียนจดหมายเชิญเพื่อนของมันที่อยู่ที่ในเมือง ให้มาเที่ยวที่บ้านนอก ขึ้น...หนูในเมืองเมื่อได้รับจดหมายแล้ว ก็ตกลงใจเดินทางมาเยี่ยมเยียนในทันที...หนูใน เมืองส่ายหัวและบุ่ยปาก พูดอย่างดูถูกว่า..." อะไรจะ อย่างนี้ เป็นไม่มีอีกแล้ว ดูสิจะมีก็แต่บ้านเก่า ๆกับโรงนาและทุ่งนาแต่เพียงอย่างเดียว ...เฮ้อ..นายทนอาศัยอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร? " หนูในเมืองบ่น แต่หนูบ้านนอกก็ ได้เชื้อเชิญให้เพื่อนเข้าไปในโรงเก็บ ของเก่า ๆหลังหนึ่งที่ตนได้ใช้อาศัยเป็นที่อยู่อย่างนอบน้อม... "ทำไมถึงได้สกปรกอย่างนี้ก็ไม่รู้ " หนูในเมืองยังบ่นต่อทั้งที่เข้ามาข้างในแล้วก็ตาม หนูบ้านนอก จัดการเอาอาหารที่ตนคิดว่าดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด ออกมาวางไว้บนโต๊ะ..มีถั่ว,ข้าวโพดและเนยก้อนเล็ก ๆ.. " ไม่มีอะไรมากมายหรอก แต่เชิญท่านกินให้ หายเหนื่อยเถอะ" หนูในเมืองมองอาหารบนโต๊ะแล้วพูดว่า
" จริง ๆ ด้วย ไม่เห็นมีอะไรดี ๆเลย " หนูในเมืองพูดจบก็หยิบข้าวโพด ขึ้นมาแทะไปได้คำหนึ่งมันก็คายออกมาแล้วพูดว่า " ของอย่างนี้เรากินไม่ได้หรอก ไม่เห็นจะอร่อยเลย นายทนอยู่อย่างนี้ได้ ยังไง ไปหาเราที่ในเมืองสิ..เราจะ เลี้ยงนายด้วยอาหารที่อร่อยที่สุดและแน่นอนนายจะต้องไม่เคยได้เห็น ให้อิ่มเต็มท้องเลยทีเดียว"


จากนั้นต่อมาอีกไม่นาน หนูบ้านนอกก็ตกลงใจที่จะเดินทางไปหาหนูผู้เพื่อนที่อยู่ที่ใน เมืองตามคำเชิญ แต่เมื่อมันได้เดินทางมาถึงมันต้องตกใจ...เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรที่ มันโกลาหลและขวักไขว่แบบนี้มาก่อนเลย แล้วทันใดนั้น ! ก็มีเสียง..การ่า..การ่า...การ่า...ของรถม้า ดังขึ้น... " จ๊าก..จู้ ๆๆ..ช่วยด้วย" หนูบ้านนอกกระโดดลงไปหลบในท่อน้ำข้างทาง...
"โอ้ย..เกือบแย่เพราะมัว แต่ยืนงง..เกือบจะโดนรถม้าทับตายเลยเห็นไหมนี่?..แค๊กๆๆ" หนูบ้านนอกเดินอ่อนระทวยทั้งเหนื่อยทั้งหิวเพราะต้อง พบปะแต่สิ่งน่ากลัวมากมายจนมาถึงจุด หมายปลายทางคือบ้านที่หนูในเมืองอาศัยอยู่.. " โอ่..ยินดีต้อน รับเพื่อนรักมาพอดีกับเวลาอาหารเย็นและตรงกับที่อาหารกำลังขึ้นสำรับ พอดิบพอดีเสียด้วย..จู้ๆๆ " และเมื่อมันได้ถูกพาเข้ามาในบ้านแล้ว มีโคมไฟอันใหญ่ส่องแสงแวววาว สวยงามอยู่บนเพดาน ใช่แล้วห้องนั้นเป็นห้องอาหาร ที่ใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน...หนูบ้านนอก ล่ะให้เป็นตื่นเต้นไปหมด..
หนูในเมืองได้บอกให้มันปีนขึ้นไปบนโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงกลางห้อง ตั้งแต่เกิดมามันยังไม่เคยเห็น อาหารอะไรมากมายและ น่ากินแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ... " ว้าว..น่ากินทั้งนั้นเลย " และด้วยกำลังหิวจึง ตรงเข้าไปหาอาหารที่เห็นข้างหน้าทันที ! แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลิ้มรสสิ่งใดเลยสักนิด..พลัน!ก็มีเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้น " ว๊าย ! ไอ้หนูขี้ขโมย ! เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวฆ่าให้ตายหมดเลย..โคร่า !.." คนใช้ที่เป็นคนทำอาหารนั่นเอง..เขาฉวย ไม้กวาดได้ก็ไล่ตี..ควับ .!.ควับ !.ให้ทันที... หนูทั้งสองตกใจ วิ่งหลบไม้กวาดมรณะกันให้วุ่นวายไปหมด พอลงมาจากโต๊ะได้ก็พร้อมใจกันวิ่งแจ้น หนีเข้าไปหลบในรูที่อยู่ตรงข้างฝา ทันทีทันใด ! ด้วยความกลัวอย่างสุด ๆ....
" แฮ๊ก ๆ ๆ ..ตกใจหมดเลย ! แต่ไม่เป็นไร ?หรอกเพื่อนรัก..เดี๋ยวหายเหนื่อยแล้ว เราจะพา นายไปกินอีกที่..เป็นการแก้ตัวแล้วกัน " หนูบ้านนอกเอามือทาบอก ด้วยความเหนื่อย แล้วพูดกับ หนู ในเมืองว่า " แต่ว่า..เห็นทีว่าเราจะไม่ขอเล่นด้วยแล้ว ! เราต้องขอขอบคุณในความหวังดีของท่าน แต่ อาหารที่สุดสยอง ! ต้องเสี่ยงและต้องแลกกับมันด้วยความเป็นความตาย..เราไม่อยากกินแล้ว! ต่อให้มัน อร่อยแค่ไหนก็ตามเถอะ ! เราคิดว่าเรากลับไปกินพืชผักที่บ้านนอก ของ เราดีกว่า ถึงจะไม่อร่อยแต่ก็ไม่ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลกที่เป็นอยู่มา เราก็มีกินอิ่มท้องทุกวันและอยู่อย่าง มีความสุขดีแล้ว..." หนูบ้านนอกตอบหนูในเมืองเสร็จ ก็ลากลับไปที่บ้านนอกของมันทันที......



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความพอดีและพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เลิศที่สุด..ชีวิตที่เพียงพอและเรียบง่ายย่อม เป็นสุขกว่าชีวิตที่ต้องคอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา...ว่าไหม?